Saturday, September 27, 2008

Journal#1.5 [TH]

ก่อนกลับหอแวะโทรศัพท์กลับบ้านด้วยบัตรที่เหลือจากที่มาฝึกงาน ซื้อของด้วยแล้วต้องหิ้วขึ้นไอ้เนินนั่นอีกกลับ ได้ซื้อชุดถูกๆแต่พอดูได้มาด้วย เพราะของจากสนามบินจะส่งถึงในวันรุ่งขึ้นเดี๋ยวไม่มีเสื้อเปลี่ยน ถึงห้องปุ้บ หลับไม่รู้เรื่องเลย แล้วตื่นมา 9 โมงครึ่งชิบหายละมันนัด 9 โมงนิ คิดว่าสายแล้วมันไม่รอตูชัวร์เลยรีบโทรหา โชคดีที่ยังไม่ไปรอคนอื่นๆอยู่ (โชคดีว่าพวกมันช้า) กว่าจะได้ออกก็ 10 โมงครึ่ง = = ตอนหลังมารู้ว่าเค้าเปลี่ยนเวลาเป็น 10 โมงแล้วเอาไปหยอดใน mail box แต่ตรูไม่ได้ดูว่ะ - -. แล้วพวกเรา(12 คน รวมตัวเองกะคนพาไป) ก็ไปสำนักงานเขต อาโอบะ เพื่อไปทำ Alien Registration ระหว่างทางก็เนินอีกละ ตูละเซ็ง...

ไปรออยู่นานเหมือนกันกว่าจะเสร็จ แล้วต้องมารับเองด้วย ระหว่างยื่นเอกสารเจอคนถือพาสปอร์ตไทยเหมือนกันด้วย ก็แม่คนที่ลงมาสายสุดแหละ (คนไทยต้องสายสินะ) คิดอยู่ว่าจะไปทักดีปล่าว เพราะว่ามันดูแปลกๆ ตอนหลังเค้าเห็นพาสปอร์ตเราบ้าง แล้วยืนดูเลยว่าใครจะไปหยิบ -_-" เลยรู้ว่าเราคนไทยก็เลยคุย เป็นเด็กจุฬาอะ เรียน Computer Science นี่ละ University Recommend เหมือนกันด้วย ตอนหลังมารู้ว่าแลปอยู่ตึกเดียวกันด้วยแต่คนละชั้น ที่ไม่อยากเข้าไปคุยตอนแรกเพราะรู้สึกแปลกๆ เห็นเวลาพวก international students คุยกันก็ถามแต่เรื่องทั่วๆไปเช่นชื่อไร มาจากไหน ... แล้วนั่งกันเงียบ ไรว้า บรรยากาศแปลกๆ ต้องให้ตูเล่นตลกให้ดูก่อนรึไงถึงจะเฮฮา -.- ได้ใบชั่วคราวมาไว้เปิดบัญชีกะซื้อมือถือ ของจริงต้องมาเอาด้วยตัวเองอีกที... แล้วเราก็กลับกัน บางส่วนกลับหอ บางส่วนไป Orientation ก่อน ส่วนผมไปแลป เราแวะกินข้าวกันที่โรงอาหารในมหาลัย ก่อนด้วย อ่านออกแค่ของที่เขียนด้วย Hiragana กะ Katagana เลยสั่งビーフカレแล้วแม่งหมด(ฟังออกด้วยนะว่าหมด)เลยสั่ง クリームチイズメンチ เขียนแบบนี้มั้งจำไม่ได้ ของอย่างอื่นก็หยิบใส่ถาดเอง เหมือนตอนมาฝึกงานแล้วไปคิดตังที่แคชเชียร์ มารู้ตอนหลังว่ามันมี Romanji เขียนข้างบนชื่ออาหารตัวเล็กๆ สาดดดดด

วันนี้งานก็ทำเอกสารที่เหลือให้ครบ จบการส่งเอกสาร Admission แล้วและก็ทำประกันสุขภาพพร้อมกับเปิดบัญชีที่ไปรษณีย์ ต้องเขียนที่อยู่เองเป็น Kanji ครับ อ้วกเป็นเลือดเลยทีเดียวนั่งคัดตามทีละตัว ใช้เวลาครึ่งชั่วโมงกว่า เซ็งทั้งผมทั้งติวเตอร์ แล้วเราก็กลับแลปกัน เค้าก็พาไปอธิบาย facilities ในมหาลัย ไอ้ยิมน่่ีน่าใช้ดีนะ ไว้ไปลองหลังได้ Student Card อ้อ แต่ตอนนี้ได้ 学籍番号 หรือ Student ID แล้ว

กลับมาถึงหอดึกๆเลย ของที่ให้ส่งมาอยู่ในห้องคนดูแลหอ ต้องโทรเรียกติวเตอร์ให้เปิดให้ ไอ้คนที่รู้จักไม่อยู่เลยโทรไปห้องอีกคน (ด้านได้อายอดเฟร้ย) เป็นสาวจีน นั่งจัดห้องซะเหนื่อยเลย เน็ตหอมันออน msn ไม่ได้เลยใช้ web msn เอา ดีหน่อยว่าตอนหลังลองว่ามันใช้ Skype ได้

ดึกๆมีคนไทยมาถามที่ห้องเรื่องเอกสารกะ Orientation ทำไปทำมากลายเป็นว่าเราเป็นคนที่ทำเอกสารเรียบร้อยคนแรกเลย (ได้ไงวะ) แล้วรู้เรื่องกำหนดการเยอะสุดแบบงงๆ -_-" ในหอมีคนไทยอีก 4 คนมั้งตอนนี้ที่เจอ เป็นผู้หญิงหมด เจี๊ยวจ้าวดี ทำให้นึกถึง LKC's Girlfriend อันนี้ใครรู้จักคงนึกภาพออก มะวานกิน おでん ไปอร่อยดีนะไม่แพงด้วย แต่อยากกิน やぎいも อะตั้งแต่บนเครื่องบินแล้ว มีแต่ที่ขายแต่ของหมด -_-

โดยรวมจนถึงตอนนี้คงบอกว่าชอบครับชีวิตที่นี่ อยากเป็นภาษาญี่ปุ่นเร็วคงมันกว่านี้ เรื่อง research topics ด้วยอาทิตย์หน้าคงต้องดูเรื่องลงทะเบียนเรียนแล้วดูว่าอาจารย์จะให้ทำอะไรบ้าง ส่วนตัวแล้วผมไม่ค่อยตื่นเต้นมากกะการไปอยู่ต่างประเทศเพราะก็ไปบ่อยเหมือนกัน มีประสบการณ์ตกเครื่องต้องอยู่ต่อ และ พาสปอร์ต หายมาแล้ว ตัวเองทำเรื่องพลาดๆไว้ก็เยอะ ตอนนี้เลยเจอปัญหาอะไรก็เลยไม่ตื่นเต้นมากนัก (แต่อย่ามีเลยจะดีมาก) พูดถึงสาวๆที่นี่ (ไอ้@kobkrit) มันถามมา ผมว่าก็ดีนะ น่ารักเยอะสำหรับคนที่ชอบสไตล์ขาวๆแอ้บๆ อย่าง LKC หรือ LCH เรื่องหุ่นนี่คนไทยน่าจะดีกว่ามั้ง ไม่รู้ไม่ได้นับ เรื่องนิสัยใจคอผมว่าคนใจดีนะช่วยอย่างเต็มใจ พวกคนที่บริการก็พูดดีมาก ยุโรปนี่ผมว่าคนขายยังหยาบๆ ที่แน่ๆผมว่าดีกว่า Taxi ไทย 100% เรื่องของกินบางคนอาจจะบอกว่ารสชาติเบา ผมว่ามันไม่เบานะรสมันเข้มทีเดียวแหละเพราะเค้ากินข้าวกะกับสลับคำกัน ไม่ใช่ตักกับข้าวมารวมกันแล้วกินแบบคนไทย รสกับข้าวจึงอ่อนกว่า ถ้าเอากับมาลงข้าวแล้วจะเกิดอาการ "คีบไม่ติด" ได้ส่วนเรื่องเผ็ดก็ไม่เผ็ดอยู่แล้ว แต่ผมปกติก็ไม่กินเผ็ดมากเลยเฉยๆ เพราะหลังๆเพื่อนคนจีนเยอะ -_- ชอบกินจืด ไว้รอ @jazripper มาคงมันกว่านี้กะว่่าจะพูดแต่ Eng กะ Jap ด้วยเป็นการฝึก แล้วจะได้ไป shopping แล้วเที่ยวๆ จิงๆข้อดีของการรวมกลุ่มสมาคมคนไทยก็เพราะได้ไปเที่ยวด้วยกันนี่ละถ้าอยู่ตลอด เดี๋ยวเรียนภาษาช้า

ผมว่าอาจารย์ของผมใจดีนะไม่บังคับให้เข้าแลปด้วย แต่ต้องเข้าแหละ เดี๋ยวตาย อาจารย์แกตลกดีขี้เล่นแล้วก็ช่วยนู่นๆนี่ๆ คนในแล็ปเยอะติดว่าคงเข้าไปกอดแบบตอนทำกะ @Cholwich ไม่ได้เด๋วโดนกลับบ้านก่อนกำหนด สภาพห้องแลปเหมือนบ้านเลยอะ มีการทักทายตอนเข้่าหรือกลับ แยกขยะ คนกลับหลังต้องปิดไฟ ดึกปลั้ก คนมาก่อนต้องเติมน้ำกระติกร้อนแล้วเสียบปลั้ก เป็นต้น ได้ทำไอ้ป้ายที่ไว้เลื่อนไปๆมาๆบอกว่าตอนนี้อยู่ไหนทำอะไรอยู่ด้วยนะ รู้สึกดีว่าเป็นที่ของเรา แต่ตอนมาฝึกงานก็ประมาณนี้ เพราะแต่ละคนใช้เวลาอยู่กะแลปนานมาก เหมือนบ้าน บางทีอยู่กันถึงเที่ยงคืนหรือเช้า (เลยมีเตียงให้) เรื่องทำงานหนักนี่ไม่ใช่แค่ที่ญี่ปุ่นนะเพื่อนผมที่เรียนอยู่ไต้หวันก็บอกว่าแบบนี้แหละ กลางคืนแล้วยังมีคนเดินเข้ามหาลัยไปทำงาน มีแต่คนไทยอะมั้งที่ชิวๆสุดแล้ว แต่หลังๆ Salary Man ของไทยก็เริ่มงานหนักแล้วแฮะ

สุดท้ายขอขอบคุณ สาวบนรถไฟ กะ น้องๆม.ปลายที่เดินผ่านหน้ามหาลัยนะครับ ทำให้รู้สึกว่าคิดถูกแล้วที่มาเรียนที่นี่ อิๆ ล้อเล่นครับ แต่พูดจริง อ้าว...

Journal#1 [TH]

อืม เนื่องจากใช้ภาษาอังกฤษแล้วดูไม่สะใจ เลยใช้ไทยดีกว่า... เถื่อนดี

วันแรกที่ไปนี่ก็มีฮาแล้ว เนื่องจากกระเป๋าที่จะเอาขึ้นเครื่องมันเยอะไป ตั้ง 3 ใบแน่ะ เลยนั่งจัดใหม่ยุบจนมันเหลือสองใบหน้าที่เข้า Gate ปรากฏว่าตอนไป ตรวจกระเป๋า มีคนถือป้ายเที่ยวบินมาตามว่าให้ขึ้นเครื่องได้แล้ว คนครบแล้ว เลยรีบโกย ไปขึ้นเครื่อง เวลารีบๆนี่ดูทางเดินมันย้าวยาว พอไปถึงบนเครื่องมี แอร์(โฮสเตส)อยู่ 3 แบบมั้ง ที่พูดไทย ญี่ปุ่น กะ อังกฤษ แต่ละคนก็จะแยกไปบริการลูกค้าชาตินั้นๆ เวลาเค้าพูดกันเห็นใช้ภาษาอังกฤษนะ คงเพราะแอร์บางคนพูดญี่ปุ่นไม่ได้ ซักพักก็ได้กินของว่าง แล้วนอน พอเช้าก็มีของกินให้ มีข้าวต้มหมู そうめん, ผักต้ม และผลไม้ ไอ้ชุดผักต้มนี่เค็มๆดีอ่ะ ต้มกะ โชยุมั้ง ที่ตลกคือน้ำจิ้ม そうめん มันเขียนว่า めんそう จะสลับกันทำไมหว่า ตอนอยู่บนเครื่องได้ดูสารคดีเกี่ยวกะมันฝรั่งของจังหวัดอะไรไม่รู้ กินได้ดิบๆด้วยมั้งหยิบมาปอกกินเฉย เอาไปต้ม หรือว่าบดแล้วทอดก็ได้ น่ากินอ่ะ

พอลงปุ้บแถว foreign passport ยาวเหยียด แถมจะเข้าคิวไปด้วยกรอก Immigration card ไปด้วยมันก็ไม่ให้ ไล่กลับไปกรอกที่โต้ะ เซงเลยลักไก่ไม่ได้... หมดเวลากะไอ้เข้าคิว ไป 40 นาทีได้ตอนถามก็ยื่นพาสปอร์ต กะ certificate ไปเลยไม่มีปัญหา ถามนิดๆหน่อยๆ ก็ปล่อยออกไปได้ ตอนค้นตัวตรวจภาษีก็แป้บเดียว ตรวจเสื้อนอกกะในรองเท้า คงกลัวยาเสพติดอะแหละ

ออกมาปุ้บเห็นแว้บๆว่าคนที่หน้าเหมือนคนที่จะมารับเดินออกไปกะอีกคนนึง เลยคิดว่าไม่ใช่มั้งแล้วเดินไปหาจุดนัดพบ เดินเลยไปเลยมาหลายที จิงๆมันใกล้มากจนหาไม่เจอ มีห้องเล่นเน็ตด้วย 10 นาที 100 เยนใช้หยอดเหรียญเอา รอสักพัก... ไมมันไม่มาวะ เลยลองโทรหา ลองอยู่สองทีโทรติด คุยไปคุยมาเลยรู้ว่าเค้ารับคนผิดไป ให้รอเดี๋ยวจะกลับมา รออยู่เกือบ 2 ชม ได้เพราะว่าบัสมันใช้เวลาวิ่งชั่วโมงนึงถึงจะถึง เค้าบอกว่าคิดว่าไอ้คนนั้นเป็นเราเห็นถามมันว่าใช่เปล่ามันไม่ตอบแต่ถามกลับว่านี่ใช่คนที่จะมารับรึเปล่า เลยเข้าใจผิดกัน คนมารับขอโทษใหญ่ แต่ผมว่าฮาอะไม่ได้คิดไร แล้วก็ส่งของกลับหอก่อนด้วยบริการสนามบิน แล้วซื้อตั๋วรถบัส (มันเรียก แอร์พอร์ต ลีมูซีน) แล้วต่อรถไฟอีกนานเลย ลงปุ้บกินอะไรหน่อยเพราะมันบ่ายแล้ว ก็เดินไปหอต่อโดยผ่านโคตรพ่อเนิน แม่งสูงสาดดด แบกเป้หนักๆมาอีกเลยมันเลย กว่าจะถึงรู้สึกมันใกล้ไกล แล้วเค้าก็แนะนำเรากะคนดูแลหอ แล้วก็จะมีติวเตอร์อีกคนช่วยกรอกเอกสารแล้วนัดว่าพรุ่งนี้ไปทำ Alien Registration กัน 9 โมง เสร็จแล้วเค้าถามว่าเหนื่อยมั้ย ผมบอกว่าไม่เหนื่อย (จิงๆทั้งเหนื่อยทั้งง่วง บนเครื่องได้นอนแป้บเดียวนั่งหาวทั้งวัน) เราก็เลยไปมหาลัยกัน [ผ่านไอ้เนินนั่นอีกรอบ] นั่งรถครึ่ง ชม ก็ถึงออกมาหน้าสถานีปุ้บก็เจอมหาลัยเลยอะ ดีจัง มีชมรมดนตรีซ้อมกันเสียงดังดีระหว่างทางเดิน แล้วก็ถึงตึกของเรา ได้ตัว key tag ไว้เปิดห้องมาด้วย ดีจัง เข้าไปก็ไปช่วยอาจารย์กรอกเอกสารกะ ทักทายคนอื่นๆ แต่ละคนอยู่กันดึกดีนะ ขยันมาก รู้สึกว่าห้องแลปเป็นบ้านเลย มีเตียงนอนด้วย ซึ่งอยู่ข้างโต้ะกรู -_- จะได้ทำงานจิงปล่าววะ แล้วก้อทำ account mail ก่อนกลับอาจารย์ก็พาไปเลี้ยงข้าว กะ เบียร์ รู้สึกว่าตั้งแต่มานี่ จะกลายเป็นคนกินช้าสุดเลยอะ ทั้งๆที่ปกติผมว่าผมกินเร็วแล้วนา แต่เรื่องกินเร็วนี่รู้ตั้งกะมาฝึกงานคราวก่อนแล้วอะ กินม่ายค่อยทันมันต้องเพิ่มสปีด

... ที่เหลือไว้โพสหน้าเดี๋ยวมันยาวเกิน ...

Journal#1 [Eng]

Since there are many things happen to me during this period, I decided to keep journals as my reminder. The formal ones will be written in English and the explicit contents will be in Thai.

I have come to Japan to study master degree courses. I know from the start that it would not be easy for me with my low Japanese skill and academic abilities. Though, I hope that my short term training [2 weeks] and living abroad experiences will help me to survive here in Tokyo, Japan.

You may think that living in Tokyo is better than in farther cities. Actually, it does not make much different. Though you may have signs written in English, normal citizens will not have conversation with you in English. And what English signs tell you is limited and sometimes not in direct translation. I realize it this time since now I can read Hiragana, Katagana and few Kanji. Combining with my past experiences, I now have no problem in using Japanese complicated train routes.

The real difficulty is that I have to go through a lot of process that deals with documentation. In my opinion, I think it's weird to have documents for foreigner written in pure Japanese. Comparing to Thailand, I think we are more foreigner friendly. The funny thing is that officers will explain to you in Japanese even they know you don't understand. For me, I can guess what they want but usually the complicated matters like Banking or Immigration have specific terms used just like in English. With my little knowledge, I am almost at 0% understanding.

First few days in Japan have worn me out. The distance from my dormitory to nearest train station is damned far. Not to speak of hill/slope along the ways. Then it takes me about 30 minutes by train to the station where my University is located.

My room at the dorm is single type. I think for a single person, it is big enough. Besides given furniture such as bed, self, closet, sink and fridge. I still have empty area in the middle of the room. Washing machine and dryer are free to use. All in all, I would say it's good for the price. (By Japan standard housing price)

Food and stuffs may not be as expensive as you think but higher than in Thailand(Of course). Everyone is eager and happy to help you in any subjects if you can communicate what you want by any means.

To sum up. Leaving abroad anywhere will give you good experiences which I think is its' true benefits not University rank or academic issue. And with my first few days experiences here, I would say I like it and looking for more to come.