Sunday, November 30, 2008

International Party @ Dorm

We have international students party on last Saturday(土). I found that it was wonderful thanks to our french organizer Lawrence (Don't know I spell it wrongly or not) and others. It is really INTERNATIONAL in the sense that we actually comes from various places. It is a proof that language barrier is not that important. (Although we speak mostly in English) We got to make more friends, shared customs and expressed our idea.

I am quite sensitive about someone who I can call "friend". For example, I won't call people who just talk to me several time "friend". It is not a matter of time either, but I would call someone friend if I don't feel awkward when being with him/her. I think I got new friends there which is precious. Also, found someone sharing same interests as you make you feel good.

Alcohol used in the party is vodka base mixed cocktail. It will get you drunk quickly, though I think it may be too sour in taste. To be able to mix that much in quantity with that kind of taste is quite a successful job actually. (Next time I may try to mix too since I love mixing up cocktail :P)

Other than hobbies, I think the most famous topics for guys is getting yourself a girlfriend. Lately, every man, Japanese or International, I talked to dreams of building beautiful family. Well, I think it is because you are at the age. (Father Instinct ?) It is probably in your DNA plus living alone would make you want to find someone to be at your side. Even the ones that already have couples in their home countries would want to have someone here (Loneliness ?).I have been talking about this kind of topics frequently lately and it make me want to find someone too. But it seems that from people I know now, I don't think of anyone more than friend. (Well, If you love someone then you "just love" him/her without any reasons, right?) Anyway, I don't feel any bad having friends but it bothers me sometimes when seeing lovely couples. (Jealous ? hahaha)

I hope we have this kind of activity in the near future. Trip or party, I will help to make it happens too. Since we have only one chance to live our lives. I will try to do "special thing" from now on. It may look weird for someone but that's my life and I don't want to say "I should do this and that..." when I am old.

Friday, November 21, 2008

Superior (シューピアリア) กับข้อคิด

พอดีได้อ่านการ์ตูน(manga) เรื่อง Superior อ่านแล้วก็รู้สึกว่าได้ข้อคิดโดยไม่ได้ตั้งใจ

เรื่องนี้นางเอกเป็นราชินีปิศาจ ที่เคยฆ่าคนมาเยอะ(ครึ่งโลก) พระเอกเป็นผู้กล้าที่ได้รับคัดเลือกให้เดินทางไปกำจัดราชินีปิศาจ หรือคือนางเอกแหละ แต่พระเอกนั้นไม่ยอมฆ่าปิศาจครับ แม้แต่ตัวเดียวเลย ทำให้นางเอกสนใจและแกล้งเข้าร่วมเดินทางด้วยและค่อยๆหลงรักพระเอกในที่สุด

แต่ "คติ" ของเรื่องนี้ที่แฝงไว้คือว่า ทางฝ่ายมนุษย์และปิศาจนั้นก็มีทั้งคนดีและไม่ดีครับ ต่างฝ่ายก็กลัวอีกฝ่ายเลยลงมือไปฆ่าอีกฝ่ายนึง โดยฝ่ายมนุษย์ก็อ้างว่าปิศาจเป็นอันตรายนะต้องฆ่าให้หมด และฝ่ายปิศาจก็คิดแบบเดียวกัน "ต่างฝ่ายต่างบอกว่าอีกฝ่ายเป็นคนผิด" ทั้งๆที่ถ้าสืบไปสืบมาแล้วก็ไม่ได้มีใครเห็นหรือมีหลักฐานหรอกว่า ฝ่ายไหนเป็นฝ่ายที่ลงมือทำร้ายอีกฝ่ายก่อนในอดีต

เมื่อมีแนวคิดที่ต่างกันสงครามก็ย่อมเกิดขึ้นครับ ต่างฝ่ายต่างคิดว่าถ้าจัดการอีกฝ่ายให้หมดหรือเหลือน้อยแล้วฝ่ายตัวเองจะได้ขึ้นมาปกครองและไม่ต้องกลัวอีกฝ่ายทำร้ายอีก

ส่วนพระเอกของเรื่องไม่ทำร้ายฝ่ายไหนครับและไม่เข้าข้างฝ่ายไหนด้วย แต่พยายามทำให้ทั้งสองฝ่ายอยู่ร่วมกันได้อย่างเข้าใจกัน

เรื่องนี้ต่างจากการ์ตูนเรื่องอื่นๆหรือเกมส์ต่างๆโดยสิ้นเชิงครับที่ถ้าฝ่ายดีก็ดีไปเลยฝ่ายร้ายก็ร้ายไปเลยแบบว่าอยู่ๆตัวโกงก็ออกมาฆ่าคนเล่นโดยไม่มีเหตุผลซะงั้น แล้วพระเอกก็ฆ่าตัวโกงซะเรียบ... มาลองคิดดูๆแล้วทำแบบนั้นมันก็ไม่ค่อยต่างจากอีกฝ่ายเท่าไร่นิ ไปล้างบางมันเหมือนกาน - -"

อ่านแล้วลองมองถึงเหตุการณ์จริงๆในโลกเราตอนนี้ดูครับ ที่ยังมีสงครามและความขัดแย้งมากมาย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเพราะว่าต่างฝ่ายต่างมองว่าพวกตัวเองถูกและอีกฝ่ายผิด โดยจริงๆแล้วก็ไม่มีใครไปรู้หรอกว่าตอนแรกน่ะใครผิดใครถูก หรือถึงรู้แล้วมันจะช่วยได้มั้ยเนี่ย คิดแต่จะไปทำลายอีกฝ่ายเอาอย่างเดียว

ตัวผมเองเห็นด้วยกับพระเอกว่าปัญหาเกี่ยวกับความขัดแย้งนั้น ไม่ได้จะแก้ไขด้วยกำลังหรือให้ฝ่ายนึงยอมอีกฝ่ายนึง แต่ต้องแก้ด้วยการให้ทั้งสองฝ่ายเข้าใจกันและอยู่ร่วมกันได้เท่านั้นครับ เราไม่มีทางทำให้คนทั้งหมดคิดเหมือนกันได้หรอก

ปัญหาอยู่ที่ว่าการจะให้ทั้งสองฝ่ายเข้าใจกันนั้นเป็นไปได้ยาก อันนี้ในการ์ตูนเรื่องนี้ก็แสดงให้เห็นครับ และยังบอกด้วยว่า มันจำต้องใช้เวลานานมากซึ่งคนส่วนใหญ่ไม่อยากรอหรือรอไม่ได้ แบบว่าอยากได้เดี๋ยวนั้นเลย จึงเกิดสงครามขึ้น

จะบอกว่าก็คล้ายๆกับการเมืองบ้านเราตอนนี้แหละครับมั่วจนไม่รู้แล้วว่าฝ่ายไหนดีไม่ดี หรือถ้าถึงรู้มันก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นนี่ ต่างฝ่ายต้องการใช้อำนาจหรือกำลังทำให้อีกฝ่ายยอมเชื่อตาม ไม่ได้เปลี่ยนจากใจ แบบนี้ถึงมีฝ่ายนึงชนะก็ไม่สามารถคงอยู่ได้นาน สู้มาทำความเข้าใจกันและอยู่ร่วมกันจะดีกว่ามั้ย

Saturday, November 8, 2008

[OFFENSIVE] Comments on Freinds! [TH] #1

เมื่อก่อนนี้ผมไม่เคยสนใจว่าใครจะเป็นยังไง มาช่วงหลังแล้วค้นพบว่าความจริงการลองมองพิจารณาคนรอบๆตัวก็ได้ให้ข้อคิดและสิ่งที่น่าสนใจมากมาย ดังนั้นวันนี้ก็จะขอ comments ถึงเพื่อนๆครับ ที่เลือกทั้งหมดเป็นเพื่อนสมัย SIIT เพราะผมคิดว่าเป็นช่วงที่ผมเริ่มจะสนใจเรื่องการพิจารณาสิ่งรอบๆตัวมากขึ้น นี่เลือกเฉพาะคนที่ผมคิดว่ารู้จักพอสมควรนะครับ ที่คุยกันแป้บๆนี่ไม่ comments เพราะไม่รู้ว่าความจริงแล้วเป็นยังไงไม่ได้หมายความว่าผมเห็นว่าไม่ใช่เพื่อนนะ อีกครั้งโปรดใช้วิจารณญานในการอ่านครับ

Chaklam Silpasuwanchai[Chaky,Lim,หลวงพี่] ต้องเอาคนนี้ขึ้นก่อนครับยังไงก็ถือว่าเป็นพระแล้วต้องอยู่ด้านบน เหอๆ ผมรู้จักเพื่อนคนนี้ตอนเข้าเรียน SIIT ได้อาทิตย์ที่สามครับ พอดีรอ Tutor มาติวให้อยู่ (ตอนนั้นจะมีคาบติววิชาต่างๆให้เด็กปีหนึ่งนะ ไม่รู้เดี๋ยวนี้ยังมีรึเปล่่า) เห็นว่างๆพี่แกก็ใช้วิธี Breaking Ice แบบพิเศษครับถือ ไมโครโฟน เข้ามาสัมภาษณ์ทีละคนว่าใครชื่ออะไรบ้างทั้งห้อง - -" [ภายหลังขอเรียกแบบนี้ว่า Chaky's Skill] หลังจากนั้นผมก็ไม่ได้สนใจครับแต่ไปเจอเค้านั่งกินข้าวคนเดียวตรงโรงอาหารกลาง ปกติแล้วตอนนั้นผมเป็นคนเข้าไปคุยกะใครก่อนไม่เป็น แต่บุญกรรมพาไปครับคิดไงไม่รู้เข้าไปทักแล้วนั่งกินเป็นเพื่อนเฉย(เป็นคนแรกๆในชีวิตเลยเนี่ยที่ทำแบบนี้) หลังจากนั้นเราก็ได้ร่วมทุกข์ร่วมสุข(?) กันอย่างยาวนานครับ มีทะเลาะกันบ้าง ที่รุนแรงสุดก็ตอนจะขึ้นปีสองด้วยเหตุการณ์ที่เกิดพร้อมๆ Tsunami [อันนี่ไม่ขอเล่าครับเดี๋ยวเข้าตัว] เรื่องนี้ผมผิดเองแหละแล้วยังรู้สึกเสียใจจนทุกวันนี้ บางทีเฮียแกจะพูดอะไรให้รู้สึกตะขิดตะขวงใจเล็กน้อยเพราะว่าแก "ภาษาไทยไม่แข็ง" หรือบางทีตอนพยายามเล่นมุขตลกตอนตรูกะลังเครียดก็ทำให้ตงิดๆได้ แต่ว่าหลังๆก็มีกรรมตามสนอง โดนเองให้หงุดหงิดบ้างเหมือนกัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องบอกว่าเค้าเป็นจุดเริ่มต้นให้ผมในหลายๆเรื่อง สอนผมให้รู้จักอะไรหลายๆมุม เปิดโลกให้กว้างขึ้น และบางอย่างที่ผมเรียนรู้มาจากเค้าก็ช่วยผมได้มากถึงทุกวันนี้ เรียกได้ว่า ไม่มีชักกี้ก็ไม่มีผมวันนี้ ผมยกให้เป็นคนสำคัญลำดับต้นๆเลยครับ ปัจจุบันแม้การตัดสินใจบวชนานของเค้าจะทำให้หลายคนเซ็งแต่ผมก็ยังเชื่อว่าเมื่อเค้าตัดสินใจเลือกมันก็ต้องดีอยู่แล้ว ดังที่เค้าเคยบอกว่า "You are my friend. So, you should respect my decision." แน่นอนครับผมก็เชื่อว่า "ชักกี้ทำพลาดได้ แต่ไม่เคยทำผิด" รู้สึกว่าจะเคยสัญญาไว้ว่าถ้าชักกี้จะบวชตลอดจริงๆรอจนผมเบื่อทางโลกแล้วตอนแก่ๆจะไปบวชด้วยกันตลอดด้วยสิเนี่ย = =" อันนี้ไม่รู้ว่าเจ้าตัวยังจำได้รึเปล่า เหอๆ

Chayapan Meesuk[ป่าน,ไอ้ผมยาว] ต้องพูดถึงคนนี้ด้วยครับ คนที่คอยช่วยเหลือผมหลายๆเรื่องถึงคนอื่นจะเห็นเป็น Legendary Character คือไม่ค่อยเห็นมัน ป่านเป็นคนเก่งมากครับ ถ้ามันจะทำนะ มาเรียนไม่กี่ทีโดดยกเทอมแล้วมาสอบยังได้เกรดดีกว่าคนตั้งใจเรียนบางคน = =" ป่านเป็นคนมี Individual Personality สูงมากซึ่งผมชอบ ไม่เหมือนใครแต่ก็ทำอะไรออกมาได้ดี เนื่องจากมีบุคลิกแบบกูไม่สนใคร บางคนจึงเขม่นๆ เป็นเพื่อนรร.เก่าของหลวงพี่และเป็นว่าที่รูมเมทตอนปีหนึ่งแต่พอแม่หลวงพี่มาเจอแล้วตกใจเลยไม่ให้อยู่ด้วย(555) เป็นคนที่ผมสนใจเพราะตอนชักกี้แนะนำให้ผมรู้จักตอนปีหนึ่งผมไปทักมันแล้วมันไม่สนใจนั่งอ่านการ์ตูนต่อ (-_-)ผมเลยคิดในใจว่าสาดดด กูจะทำให้มึงมาคุยกะกูให้ได้ ตอนหลังไม่ค่อยได้เจอเลยอะ คิดถึงเหมือนกัน จำได้คาใจว่าติดเงินมันอยู่ 100 บาทจนถึงตอนนี้ ตูส่งเงินใส่ซองไปให้มันที่บ้านได้มั้นเนี่ย

Chayanin Chamkam[หนึ่ง,ชญานิ้ล,นิ้ล,พ่อ,ป๋าหนึ่ง] คนดีของสังคมคร้าบบบ พ่อพระตลอดกาล ผู้พิสูจน์ทฤษฎีว่าไมผู้หญิงแม่งไม่ชอบคนดีวะ เป็นคนดีเสมอครับใครขอให้ช่วยอะไร ทำได้แกจะช่วย บอกให้มารับก็มา ^^ ถามว่าใครใจดีสุดในเพื่อน SIIT ของผม ก็ยกให้คนนี้แหละ ดีจนจะพาตัวเองซวยเอาหลายรอบ - -" ตัวนิ้ลเองก็เก่งนะแต่เวลาทำอะไรชอบหมดกำลังใจว่ะ... ต้องให้มีคนช่วยเชียร์ดิเนี่ย ผมว่าตั้งแต่เรียนมานั่งรถ Vios สีดำของนิ้ลเยอะสุดละ นั่งจนจำได้เหมือนรถตัวเอง 555 ใครไม่เคยพบเจอว่าคนดีเป็นยังไงให้ลองมาคบด้วยดูครับ ไม่ผิดหวัง

Leung King Chiu[คิงชิว,ชิว,LKC] หนุ่มอิมพอร์ทจากฮ่องกงเหมือนหลวงพี่ ตัวสัญชาติยังเป็นฮ่องกงอยู่ไม่เหมือนหลวงพี่ แต่ความสามารถภาษาไทยเป็นต่อครับขนาดคนไทยแท้ๆยังอาย เป็นคนที่นอนได้ทั้งวันและทุกที่ทุกเวลา ไม่ชอบนอนบนเตียงแต่นอนหน้าคอม ไม่ต้องใช้หมอนด้วย เป็นคนที่เก่งมากครับแต่ความตั้งใจต่ำกว่าตูอีก กว่าจะฮึดได้เนี่ย เพื่อนๆดันแทบตาย ต้องให้ยุก่อนตลอดถึงจะทำ เป็นคนใจเย็นที่สุดที่ผมเจอมา และก็ไม่ค่อยสู้คนด้วย (-_-) จะเห็นด้วยไม่เห็นด้วยมันก็เงียบตลอด แต่นั่นคือข้อดีนะ อยู่ด้วยแล้วจะสบายใจมาก เป็นตัวของตัวเองได้เต็มที่ เป็นเพื่อนคนเดียวที่ผมกล้าพูดได้ว่า "สามารถพูดทุกเรื่องให้ฟังได้" ความจริงรู้จักตั้งกะปีหนึ่งแล้วละ แต่มาสนิทมากๆๆๆๆๆ ก็หลังจากไปฝึกงาน(ทำถ่อย)ญี่ปุ่นด้วยกัน อันนี้มีหลักฐานรูปภาพหลายอย่างแต่ไม่โชว์อะ เดี๋ยวตูเสียด้วย (555)

Liu Chun Hung[ชุนหง, LCH] คนนี้ก็แปลกดีครับ ไปสนิทด้วยเพราะเป็นรูมเมทของคนข้างบน ตอนไปรอเลยได้คุยและพบว่ามีหลายๆอย่างเหมือนกัน และ มีปัญหาเรื่องเหมือนๆกัน ทำให้ได้นอนคุยกันทั้งคืนหลายครั้ง เป็นคนขี้บ่นมาก มันบ่นได้ตลอดอะทุกเรื่อง แต่น่าสงสารมันเพราะมันปวดหลังแล้วหลับยาก แต่ผมกะคิงชิวหลับไม่ตื่นแถม Double กรน อีกทำให้มันลำบากชีวิตมาก เป็นอีกคนที่ร่วมขบวนการถ่อยตอนไปญี่ปุ่นรอบนั้น เป็นคนกล้าคิดกล้าทำชอบลองอะไรแปลกๆตลอด แต่มันชอบ "ทำพลาด" บ่อยๆ หลายๆเรื่องด้วย เป็นคนให้คติว่า "ความพยายามไม่ได่้นำมาซึ่งความสำเร็จเสมอไป" ซึ่งหลายๆคนตอนนี้เห็นด้วย

Kobkrit Viriyayudhakorn[ซี,ไอ้ซี,กอบเกรียน] ตัวเกรียนและคนขับรถประจำภาค เพราะรถมันใหญ่ เคยจุได้มากสุด 11 คน! ทีมฟุตบอลเหรอนั่น ที่เอามาใส่คนล่างสุดไม่ได้อะไรนะแต่จะให้มันปิดหัวท้ายกะหลวงพี่พอดี เป็นว่าที่คุณพ่อ รักครอบครัวมาก อะไรก็ต้องยกให้แฟนอันดับแรก แบบว่าใครอยากให้มันทำอะไรไปให้แฟนมันบอกมันอะเดี๋ยวมันทำ แต่ก็แสดงให้เห็นว่าคนเราพอจะมีครอบครัวความรับผิดชอบก็จะมากขึ้นตามไปด้วย เป็นโอตาคุคอมและSenior Programmer อะไรเกี่ยวกะเขียนโปรแกรมขอให้บอกมันชอบ ความเกรียนมันก็ระดับต้นๆเลยครับ เกรียนตั้งแต่เวลาปกติ เวลาเรียน หรือเล่นเกม เริ่มเกรียนตั้งกะก่อนเข้าปีหนึ่งอีกครับกับเหตุการณ์ที่คาราคาซังไปยันตอนปัจฉิมนิเทศน์ เหตุการณ์นี้ทำมันเสียวถึงรูตูดเลยทีเดียว [อยากรู้ว่าเรื่องอะไรไปถามมันเอง เหอๆ] เกรียนมากๆตอนปีสองครับจานหมัดถามจะเรียนปล่าวมันไม่อยากเรียนก็บอกให้ไม่สอนซะงั้น ความจริงตอนนั้นนี่เกรียนหมู่สี่ตัวรวมผม หลวงพี่ กะไอ้ป่านไปด้วย ทำให้ทั้งห้องรู้สึกเหมือนเรียนกันอยู่สี่ตัว ทำให้เพื่อนๆในห้องหลายคนเคืองมาก(แต่ก็สะใจดีว่ะ) ผมไม่ได้เริ่มก่อนนะ แค่หัวเราะเฉยๆ มันกะป่านทำเกรียนแล้วชักกี้คอยบอก skip จริงๆกูก็ไม่ค่อยรู้เรื่องหรอกแต่เห็นเพื่อนมันเกรียนเลยเอาด้วย ตกลงเรียนผ่านมาแบบงงๆ - -" ไอ้ซีถึงไม่ได้เป็นคนดีแต่ก็ซื่อสัตย์มากครับ ไม่เคยใช้วิธีโกงใดๆเป็นคนชอบง้อคนอื่นมากแล้วก็ลังเลได้ง่ายเวลาโดนไซโค ตอนนี้ไม่เชื่อก็ลองถามมันดูดิว่าตกลงมึงอยากทำอะไรวะ

คนอื่นๆไว้ต่อโพสหน้าครับเหนื่อยแล้ว จะยาวไปแล้วด้วย

Saturday, November 1, 2008

Pub in Japan [TH]

ก่อนอื่นอยากจะขอบอกว่าบทความนี้ไม่เหมาะสำหรับเด็กและเยาวชนนะจ้ะ

วันนี้ได้มีประสบการณ์ไปเที่ยวผับในญี่ปุ่นครั้งแรกในการมาญี่ปุ่นคราวนี้ คราวก่อนตอนมาเคยไปแล้วครั้งนึงแต่เป็นผับชาวต่างชาติเยอะๆแถว Roppongi(六本木)อันนั้นรู้สึกเหมือนนั่งดริ้งค์(กินเหล้านี่แหละ)เฉยๆไม่รู้สึกว่าเหมือนไปผับในเมืองไทย คราวนี้ก็เลยอยากจะลองแบบอื่นดูมั่ง

เริ่มจากวันนี้ออกไปหา @Jazripper ตอนเย็นๆแล้วก็ไปที่หอของ @Jazripper ที่ Odaiba (大台場) เพื่อไปเก็บของและไปรอเพื่อนนักเรียนไทยจากโทได(東大)อีกคน พอไปเจอกันปุ้บเราก็ออกเดินหาของใส่ท้องเพราะยังไม่มีใครได้กินข้าวเย็นเลย เลือกไปเลือกมาสุดท้ายก็ ราเมนจนได้ แต่ราเมนที่นี่ไม่ธรรมดานะเอาร้านราเมน 6 ร้านมารวมกันที่เดียวเลยชื่อว่า ราโคคุ (ラコク) แต่ไอ้ @jazripper มันอ่านว่า "ราค็อก" ฟังดูไม่ค่อยน่ากินเลยว่ะ จริงๆแล้วมากินกันสองครั้งแล้วลองไปสองร้านคราวนี้ก็ลองร้านที่สามเป็นราเมนใส่หมูแบบเบคอนก็อร่อยดี หลังจากนั้นเราก็ไปกันที่หอ(หอชื่อ TIEC ชื่อญี่ปุ่นยาวมากขี้เกียจเขียน) เพื่อจะเก็บของพอดีวันนี้เป็นวัน Halloween เลยมี party ก็เลยได้อานิสงกินฟรีไปตามระเบียบครับ พูดถึงหอนี้กิจกรรมเยอะมาก อยู่ทำเลที่โอไดบะอีก สุดยอดเลยเนี่ย มีทั้ง museum ทะเล ออนเซน และอื่นๆเพียบ อยากรู้รายละเอียดตั้งให้เจ้าตัวเล่าเอง ^^ ในงานก็เริ่มดื่มๆไปนิดหน่อยครับ เราเริ่มออกเดินทางกัน 23.30 เดินไป 15 นาทีก็ถึงสถานีครับขึ้นรถไฟขบวนสุดท้ายเวลา 12.59 แล้วไปต่อรถหนึ่งครั้งก็ถึง ชิบุยะ(渋谷) ณ เวลาเที่ยงคืนครึ่ง ปกติคนที่นี่มักกลับกันด้วยรถไฟเที่ยวสุดท้าย แต่ถ้าคนอยู่ต่อคือโต้รุ่งครับแล้วรอกลับรถไฟเที่ยวแรกตอนตี5 แน่นอนเราก็เป็นหนึ่งในนั้น นั่งรอซักพักก็ไปสมทบกะกลุ่มเพื่อนๆพี่ครับรวมๆแล้วเกือบ 10 คนเห็นจะได้ มีทั้งคนมาเรียนภาษา ทำงาน หรือไม่ก็ เรียนมหาลัย เนื่องจากวันนี้เป็นวัน Halloween ก็จะมีคนแต่งตัว cosplay มาเดินตามท้องถนนมากมาย ส่วนใหญ่ก็เมาๆมาไม่ก็เฮฮาไปเรื่อย มีเมาจนยืนฉี่กลางสี่แยกก็มี พอบรรยากาศให้นี่ก็เล่นกันแรงดีครับมีคนนึงมาคุยกับสาวเกาหลีในกลุ่มแล้วอยู่ๆเห็นมันตบหัวผู้หญิง - -" ตอนแรกคิดว่ารู้จักกันตอนหลังมารู้ว่าไม่ใช่เลยแปลกใจกันหลายคน แต่สงสัยสาวเกาหลีจะชินนะไม่ได้ว่าอะไร ถ้าเป็นคนไทยคงมีเรื่องแน่ เดินซักพักเราก็ถึงผับครับ ชื่อว่า Atom

คนเยอะใช้ได้เลยครับขนาดว่าเวลาตีหนึ่งได้แล้ว ตอนเดินเข้าไปก็มีตรวจอาวุธหน่อยคนตรวจนี่กวนส้นตีนสัด เป็นไอ้มืด รู้สึกว่าญี่ปุ่นมักจ้างไอ้มืดมาเป็น Guard ของผับ คงคล้ายๆของไทยที่บางทีเอาพวกทหารเก่า บึ้กๆหน่อยมา จะได้สู้ได้เวลามีเรื่อง ค่าเข้าเมื่อลดด้วยโปรโมชั่นแล้ว ผู้ชาย 2000 , ผู้หญิง 1000 yen ฟรี 1 drink (ถ้าเป็นไทยผู้หญิงเข้าฟรีนะเนี่ยแบบ Hard Rock พัทยา ^0^) ตัวผับก็เป็นตึกเล็กๆครับสไตล์ญี่ปุ่น แต่มีหลายชั้นต้องขึ้นลิฟท์ไปชั้น 5 แล้วก็จะเดินขึ้นลงได้สามชั้นคือชั้น 4-5-6 ชั้นสามเป็นล็อคเกอร์เก็บของ ชั้นสองห้ามเข้าคงเป็นห้องสตาฟ บรรยากาศนี่ออกแบบผับไทยดีครับคือควันบุหรี่ลอยเต็มแสบตา = = ยังกะ กระฉ่อน หรือ CodeA สมัยก่อน คนมาเที่ยวผับนี้ส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่นต่างกะที่Roppongi ที่จะมีอายุหน่อยและเน้นนั่งชิวๆ ที่นี่ไม่ครับ! ยังกะเอกมัย ทองหล่อ ยังไงยังงั้นเลย เบียดกันสุดๆพอๆกะ นั่งเล่น เลยครับ นับว่าบรรลุจุดประสงไปอย่างคือได้เบียดแน่นอนคร้าบ ทั้งเบียดทั้งเสียดสี สบายใจไป แต่ต้องระวังผู้ชายเต้นเบียดครับหากว่าท่านไม่ได้ชอบไม้ป่าเดียวกัน เพราะมันเต้นเบียดมาก ถ้าเป็นที่ไทยจะรู้กันครับผู้ชายจะไม่เบียดกันเองเด็ดขาด 555

ผู้หญิงในผับที่มาก็น่ารักเลยครับแล้วก็ข้อดีกว่าไทยคือมักจะไม่ได้มากะกลุ่มผู้ชายครับส่วนมากก็มากันเอง ซึ่งนี่ก็เพิ่มโอกาสในการ "เข้า" มากขึ้น ผู้หญิงที่นี่แต่งหน้าไม่มากเพราะงั้นเห็นยังไงออกไปยังคล้ายๆยังงั้นอยู่ ดีกว่าไทยที่บางทีออกมาข้างนอกแล้ว ตกใจรีบหาข้ออ้างกลับบ้านแทบไม่ทัน! การละเล่นหรือการเข้าหานี่ก็ทำได้ถึงเนื้อถึงตัวกว่าไทยครับเข้าไปเต้นๆคุยๆโอบๆ ถูๆได้ ถ้าเค้าใส่หูๆอะไรมาก็ไปดึงเล่นหรือเอามาเป็นข้ออ้างคุยได้ แต่วันนี้ผมเองยังไม่กล้าเข้าไปเปิดครับเพราะภาษาญี่ปุ่นห่วย -_-" แต่เราก็มีผู้กล้าครับไม่ได้ยอมให้คนอื่นเข้ามาสีสาวไทยฝ่ายเดียว เพื่อนจากโทไดที่บอกตอนแรกครับเข้าไปลุยกลางกลุ่มน้องๆหูกระต่ายครับ โดยมีพวกผมช่วยยืนล้อมๆกันคนอื่นเข้ามา เค้าตอดได้นานเหมือนกันครับแต่ อยู่ๆก็โดนอีกคนเข้ามาเต้นๆแล้วขอเบอร์ตัดหน้าซะงั้น มีพี่คนนึงบอกว่าต้องทำตัวบ้าๆเข้าไว้ที่นี่จะชอบแต่พี่เค้าบอกว่า กูยอมทำไม่ไหวว่ะ 555

ที่ติดใจข้างในนี้ก็มีสามสาวใส่ชุดพยาบาลครับ เป็นชุดพยาบาลแบบ บิกินี่ ปิดบนล่างอย่างละชิ้น เอวสวยงามครับจักเร้ก็สวยนะเรียบดี เดินตะลอนๆทั่วงานครับ แล้วที่นี่จะมีที่ให้ขึ้นไปยืนเต้นพิเศษครับใครพอใจก็ขึ้นไปดิ้นโชว์ได้ บนเวทีเลยก็ยังได้ครับ มีพี่คนไทยคนนึงขึ้นไปเต้นกะสามสาวนางพยาบาลด้วยนะ เยี่ยมครับต้องปรบมือให้ ^^ ดูจากลีลาการเต้นแล้วผมว่าสาวไทยเต้นได้พริ้วกว่าครับ (ท่าแบบ coyote อะ) เพื่อนๆที่มะก่อนไปผับด้วยกันก็เต้นได้พริ้วๆหลายคน ที่นี่เต้นยังแข็งๆหน่อยแต่นับว่ากล้ากว่าครับเพราะขึ้นไปที่สูงนี่กล้ามากและผมคิดว่าไม่น่าเมาด้วยนะเพราะเหล้าที่นี่ค่อนข้างแพง แต่ผมว่าก็ไม่แพงมากนะครับ cocktail แก้วละ 500 yen เกือบๆสองร้อยบ้านเรา วันก่อนผมไปที่นั่งเล่น smirnoff ขวดนึงก็ซัดไป 180 บาทเหมือนกันอะ
ออ ที่นี่ไม่มีที่นั่งนะครับเพราะคนเยอะแต่ละคนก็เลยยืนกันซะเมื่อยเลย มีโต้ะว่างๆบ้างเป็น Lady's seat ครับให้เฉพาะสาวๆนั่ง เออ พูดถึงที่นั่งนี่พอผม @jazripper กะเพื่อนอีกคนเดินผ่าน ผมก็ดูสาวๆที่นั่งอยู่ มีคนนึงมองกลับมาด้วยครับ (สนใจหรอ) เดินผ่านอีกหลายรอบก็ยังมองตามอีกครับ เป็นเพราะกูมองเหรอวะ - -" แต่ไม่กล้าเข้าไปลุยครับเพราะเค้าไม่ได้เต้นอยู่แต่นั่งพักแถมมีคนนึงในกลุ่มเค้าหลับพับคาโต้ะไปแล้วด้วย
ตอนกลับออกมาสรุปรู้สึกอารมณ์ผู้ชายแต่ละคนจะเซ็งๆ มีพี่คนนึงออกมาบ่นๆว่า "แม่ง ญี่ปุ่นนี่บ้าฝรั่งว่ะ" อันนี้จริงก็จริงครับแต่จริงๆผมว่าฝรั่งมันกล้าๆกว่าด้วยแหละถ้าทำแบบมันลองเข้าๆเสียบทุกกลุ่มอาจจะมี Fluke บ้าง ไอ้ฝรั่งนี่ก็พูดอังกฤษปนญี่ปุ่นมั่วๆเหมือนกัน แต่พี่เค้าก็บ่นๆต่อหน้าพี่ผู้หญิงคนอื่นๆเลย ดูไปแล้วคล้ายๆ หลิว ชุนหง(LCH)เลยว่ะบ่นๆตลอด คิดถึง ส่วนไอ้เพื่อนจากโทไดนี่ผมว่ามันเหมือนคิงชิว(LKC) เลยครับดูมันเสี้ยนมาก - -" อยากให้พี่ผู้หญิงไปขอเบอร์ให้ตลอด แถมบอกว่าคราวหน้าไม่ต้องถามแล้ว ฉุดเลยๆ และยังถามเรื่อง Kabukicho กะผมตลอด - -'' รู้สึกตั้งกะอยู่ที่นี่มาเจอเพื่อนร่วมอุดมการณ์เยอะดีว่ะ แต่ละคนคงเก็บกดที่อยู่มหาลัยแล้วเจอแต่ Nerds ในแลป 555 แต่ก็ดีละ ผมจะได้รู้สึกเหมือนตอนอยู่เมืองไทย แถมเวลารวมกลุ่มกันยังทำเถื่อนได้ด้วยอย่างวันนี้มีกลุ่มสาว มปลาย เดินผ่านเราก็มองกันพอเค้ามองกลับเราก็จ้องแบบเหลียวหลังเลยครับสะใจดี ส่วนเรื่องผับนี่ถ้าภาษาดีๆเมื่อไหร่หรือพร้อมกว่านี้ จะลองลุยดูอีกรอบ

ความจริงถ้าเป็นมะก่อนก็คงรู้สึกเซ็งๆไปกะเค้าด้วยแต่ ตอนนี้ผมว่าธรรมดาครับ กะจะไปหาสาวในผับมันก็ต้องมีได้บ้างไม่ได้บ้าง (ไม่ในผับก็แบบนี้แหละ) ความจริงก็ต้องเหวี่ยงแหดูเยอะๆหน่อยจะได้ไม่ obsess กะใครหรืออะไรอย่างเดียวมากเกินไป Life is a Game, Enjoy Playing It!

ไว้วันหลังมีโอกาสจะเขียน Review เรื่อง Inside-Out Kabukicho กะ Akihabara Dark-side อีกครับ :P
ปล. ข้อคิดเห็นทั้งหมดเป็นความคิดของผมจากที่เห็นมาไม่มีผิดหรือถูก ถ้ารับไม่ได้ก็เรื่องของมึง